วันอังคารที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559

อาการปวดหลังแก้ได้ง่ายๆ เพียงแค่โหนบาร์วันละ 2 ครั้ง


ผมเดินโซเซออกจากห้องอาหารทั้งเมาเหล้าและเมารัก ผมเดินคุยคนเดียวเหมือนคนบ้าแกล้งดี พูดถึงคีนุชุโ'ว่าเธอน่ารักอย่างนั้นสวยอย่างนี้ ให้เสาไฟฟ้าพยักพเยิดกับสัญญาณจราจรอย่างอารมณ์ดี จนถึงจะกลับไปแต่งบทกวีให้เธอที่บ้าน ความรักของผมเกิดง่ายยิ่งกว่าเชื้อหวัด เพราะหัวใจผมเป็นโรคภูมิแพ้ผู้หญิงสวย ผมหลงรักเธอเต็มเปาแล้วเธอบอกผมว่ามาบ่อย ๆนะ  เพราะผมคุยสนุกดี ไม่เหมือนคนอื่นที่คุยแต่เรื่องน่าเบื่อ มีผมคนเดียวที่หาเรื่องประหลาดมาคุย นี้ถ้าผมบอกว่าผมเคยเห็นจานผีเธอจะเชื่อไหมหนอ...ผมจึงเก็บเรื่องราวจานผีไว้ก่อน...จากนั้นก็ซมซานกลับมาไขกุญแจหอพัก

อาบนั้าอาบท่าเสร็จผมโรยแป้งชนิดแพงแล้วแพงอีกซึ่งเป็นของเพื่อนๆที่แวะมาค้างด้วยทิ้งไว้มานั้งลำดับหน้าตาคีนุข ผมพยายามนึกถึงค้าแปลชื่อ คีนุช จะแปลว่าอะไรนะ...นางฟ้าแห่งดนตรี หรือจะแปลว่า ผู้มีงวงเหมือนช้าง เพราะผมพบผู้หญิงคนหนึ่ง ชื่อเธอแปลว่า ผู้มืรากแก้วอันประเสริฐซึ่งผมก็สงสัยเหมือนกันว่าสมีวัดไหนทั้งให้ ผมนั้งรำพึงรำพันจนเบื่อ จึงหยิบปากกาขีดเขียนบทกวีถึงคีนุซรักเรื่อยเ!!เอย(ไม่งอก)  ผมเขียนเสร็จแล้วลองอ่านดู รู้สึกว่าเข้าที มีทั้งสัญลักษณ์และความหมายช่อนอยู่ เธอจะรู้ไหมว่าผมใช้ บาร์โหนออกกำลังกาย หัวใจกลั่นออกมาจากก้นบึ้งเชียว...ผมเดาว่า เวลาเธอได้รับบทกวีนี้ เธอจะต้องทำตาวาวเหมือนนางเนี้อทรายเพิ่งตื่นนอน และอุทานอย่างปลาบปลื้ม...อาจจะยกมือทาบอกอย่างชื่นมื่น...แต่...ถ้ามีแต่...แสดงว่ามันไม่เป็นไปตาม...ด้งนั้นและด้งนี้ แต่จะเป็นด้งโน้นคือ คีนุช หัวเราะท้องคัดท้องแข็งจนน่าเป็นห่วงไส้ติ่งว่าจะแกว่งแรงไปจนเกิดอักเสบขึ้นมา เมื่อผมแวะเข้าไปนั้งตื่มคอยเธอ เธอหัวเราะราวกับว่าดีใจที่ก้งเธอเดินทางมากับเรือญวนอพยพเที่ยวล่าสุด หรือว่าคุณยายเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ขณะที่ผมหน้าเขียวเป็นพระอินทร์ท้องเสียเพราะความในใจที่ผมนั้งคิดเค้นทั้งคืนอย่างละเอียดอ่อนกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับเธอ...แต่(แต่อีกแล้ว) ทุกสิ่งกลับดีเกินคาดเธอชอบบทกวีนี้มาก เธอบอกว่ามันแปลกดี ดีกว่าอ่านจดหมายรักนั้าเน่ารักเรื่อย    

หรือเรื่องหวานจํอย เธอชักเห็นรูปทอง(เหลือง) ในตัวผมแล้วเธอเดาว่า บาร์โหนราคา อนาคตผมต้องได้เป็นกวีเอกสมใจ เพราะเรื่องรักๆซึ้ง ๆผมย้งเขียนออกมาเป็นเรื่องตลกไต้ ผมทำหน้าเหมือนปลากระตี่เลียนแบบเรือดำนํ้า เพราะไม่ทราบว่า เธอชมหรือประชดกันแน่ แต่ผมยิ้มรับไว้ก่อน    จากนั้นความสัมพันธ์ของเราก็แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไป-มาหาสู่กันบ่อยครั้ง บางทีเธอเลิกจากร้องเพลงก็ไปนั้งกินข้าวต้มกุ๊ยข้าวต้มจิ๊กโก่หยอดตู้เพลงพังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศหรือหาหนังผีโหดๆดูสักเรื่อง เพื่อเพิ่มความใกล้ชิด เวลาผีโผล่ออกมาจากจอเธอจะไต้ผวามาซุกอกผม เผอิญเธอใจแข็งผมเลยต้องแกล้งใจอ่อนผวาไปทางเธอบ่อยๆ ผมไม่รู้หรอกว่า คนมีความรักจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า ผมยังกินและถ่ายไต้ตามปกติ แต่อาการทางจิตเปลี่ยนไป หมั่นอาบนํ้าบ่อยขึ้นและนานกว่าปกติ รู้จักซื้อแป้งหอมราคาถูก ทาแล้วเย็นทั้งจันทั้งคืน ผมก็ทาก่อนออกจากบ้าน ตัดผมเผ้าเรียบร้อย ซักเสื้อรักเรื่อยเปีอย(ไม่งอท)  ผ้าบ่อยขึ้น ยามว่างก็ผิวปากเพลงรักกล่อมใจต้วเอง ไม่โกรธง่ายแม้รถเมล์จะแถมให้สองป้าย หรือสั่งผัดไทยแล้วได้ราดหน้า ผมใจเย็นเป็นชาวเอสกิโมรอนำแข็งละลายในท่ามกลางหิมะ จิกโกเขวก็หันไปยิ้มขอบคุณมัน ทั้งที่มันชมว่าผมเดินกวนตีนมัน...ตั้งแต่ผมมีความรักแรกพบ โลกเป็นสีฟ้าสดใส มองทางไหนก็งดงามไปหมด ถ้า'ให้ผมชิมนํ้าปลาต่อหน้าตีนุช ผมต้องว่าออกรสหวานแน่เลย เพราะคนมีความรักย่อมทำอะไรไม่น่าเกลียด แม้จะโหนบาร์เพิ่มกล้าม แกล้งทำบ้าก็ดูดีและน่าเอ็นดูผมรักคีนได้สามเดือน รายได้ของผมหมดไปกับค่านั่งกินอาหารในร้านที่เธอร้องเพลงจนวันหลังๆ ผมอยากสั่งนํ้าเปล่าหรือเมนูมาอ่านเป็นทำนองเสนาะเล่น ส่วน คีนุชก็ได้บทกวีจากผมไปร่วมพันบท เพราะเขียนความในใจได้คืนละมากๆ แล้วก็ขนมาให้เธอ และทุกครั้งเธอก็จะซาบซึ้งหัวเราะบ้างกับบทกวีเหล่านั่น หัวใจผมพองโตยิ่งกว่าอึ่งอ่างตัวท้องแตกตายในนิทานอีสป เมื่อเหินความรักก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วขณะที่รายจ่ายวิ่งตามมาติดๆ และผมเองกำลังปรับตัวให้เข้ากับคีนุข ผมเริ่มจากการห้ดรัองเพลง แรกๆที่เริ่มหดร้องก็พอทำเนา แต่บางครั้งก็มีเสียงลอยผ่านลมมาว่า“ก้างตำคอหมาตัวไหนวะ”ผมเลยเจียมเนื้อเจียมตัวในหลอดเสียงและลิ้นไก่ของตัวเอง ครั้นจะเอาดีทางกีตาร์หรือออร์แกนก็แพงระยับเวลาเล่นก็ลำบาก ผมจึงใช้เครื่องดนตรีง่ายๆ คือ ผิวปากก็ได้ผลดีคือผิวเป็นเพลง แต่คีนุชไม่ชอบรีโกเรื่อยเปอย(ไม่งอก)

“การผิวปากเป็นการทำลายล้างความสุนทรีย์ทางหูที่เลวร้ายพอๆกับปรมาณู”เธอกล่าวอย่างเคร่งเครียด ผมจึงสงบจิตใจเลิกคิดเอาดีทางผิวปากหันมาเขียนบทกวีต่อไปพร้อมกบรักเธอรักแท้ย่อมไม่มีวันละลาย รักของควายย่อมไม่มีวันอ่อนแอฉ้นใด รักอมตะที่ผมคิดว่า...มัน...(ผมก้บ1คินุซ)จะอยู่ยงคงกระพ้น อยู่ก้บจนเหนียงยานไปข้างก็พ้งทลายอย่างไม,น่าเชื่อฉ้นนั้น...ให้นาฬิกาเมืองกรีนิชเดินไม่ตรงเท่าเวลาที่ร้านก็วยเดี๋ยว ผมยังไม่อยากเชื่อมากกว่า...มากกว่าจะเห็นการ์ดสีชมพูสวย หอมกลิ่นลูกกวาด ซึ่งเป็นชื่อคีนุชกับไอ้กร๊วกที่ไหนไม่รู้บอกสถานที่แต่งงานเรียบร้อยในอีกไม่กี่วัน“นุชร้กพี่ แต่นุชต้องแต่งงานกับเค้า เพราะแต่งแล้วเค้าจะไปอยู่อเมริกา นุชจะไค้เรียนต่อตามที่ปรารถนา...พี่คงเข้าใจนุช ความรักเป็นสิ่งดี ให้มันอยู่ในใจเราสองคน อย่าทำลายมัน ให้มันเป็นพลังเงียบให้เราต่อสู้ต่อไป...ส่วนการจากพรากทางกาย พี่อย่าให้ความสำคัญกับมัน...รักแทํไม่มีวันละลายหรอกค่ะ”เธอพูดปลอบโยนผมในคืนสุดท้ายที่พบกันผมนํ้าตารื้น...เพลง“คึกบางระจ้น” ไม่ทำให้สุขภาพจิตผมดีขึ้นได้ แต่ทำให้ผมมืมานะจะเขียนบทกวีต่อไปเขียนไปจนกว่าผมจะได้เป็นกวีเอก หรือจนกว่า คาริล ยิบรานจะฬินขึ้นมาอ่านงานของผมด้วยความทึ่งในความสามารถจวบจนบัดนี้ คีนุช ก็ยังไม่กลับจากอเมริการกเรื่อยเ!)อย(ไม่งอก)  ความร้กของเธอคงไม่ละลายเพราะที่นั่นหนาวแต่สำหรับผมไม่ว่าอากาศเมืองไทยจะร้อนจนร้งแคสุกความรักครั้งแรกก็จะไม่มืวันระเหยไปไหน...แม้ว่าสิงที่พรากคีนุชไปคือฐานะการเงิน บาร์โหนติดประตู ผมเสียรักเพราะจน เสียคนเพราะอยากเป็นกวี ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาเป็นกวีต่อไปแม้จะยืนอยู่คนละข้างกับเงินก็ช่างเถอะ...ทั้งที่ถูกที่ควรผมควรจะวางปากกาและบินไปซาอุฯ ก่อร่างสร้างต้วเพื่อฅีนุช มากกว่าจะมาบ้าจะเป็นกวีที่ห้าชาติอย่างนี้...


บาร์โหน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น